The Origin Onnut
(ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช)
มีหลายทำเลในกรุงเทพฯ ที่กำลังเป็นทำเลแห่งการพัฒนา และกำลังเป็นที่จับตามองของเหล่า Developer หรือแม้แต่เหล่านักลงทุนที่เล็งเห็นผลประโยชน์ที่จะตามมาหลังจากทำเลเหล่านี้ถูกพัฒนาจนแล้วเสร็จ ซึ่งที่ผ่านมานั้นผมเองเจาะลึกและพาทุกคนไปสืบมาหลายทำเลก็จริง แต่วันนี้มีอีกทำเลที่ผมกำลังมองว่าน่าสนใจเพราะเห็นจากการรุกตลาดทำเลนี้ของ Developer รายใหญ่หลายรายอย่างทำเล “อ่อนนุช” ที่ทาง Origin เพิ่งจะรุกตลาดย่านนี้ด้วยการส่งโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง “The Origin Onnut” คอนโดฯ ใหม่รับ New Normal และตอบโจทย์คนเมืองรุ่นใหม่ในราคาไม่แรงล้านต้นเท่านั้น
วันนี้ผมเลยถือโอกาสพาทุกคนไปเจาะลึกย่านนี้และสืบโครงการไปพร้อมๆ กัน แต่ก่อนอื่นเราลองไปดูกันครับว่าทำเลนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง…
“อ่อนนุช” ทำเลอนาคตแห่งใหม่ที่น่าจับตามอง
“อ่อนนุช” หรือสุขุมวิทตอนปลายที่ถูกมองว่าเป็นลูกครึ่ง เพราะบางคนมองว่าย่านนี้อยู่นอกเมือง แต่บางคนกลับมองว่าที่นี่ยังอยู่ในเมือง ซึ่งการที่อ่อนนุชเป็นย่านที่อยู่ก้ำกึ่งระหว่างตัวเมืองกับนอกเมืองนั้น ผมเองมองว่านี่คือข้อดี!! เพราะทุกวันนี้หลายคนเริ่มมองหาที่อยู่อาศัยที่อยู่นอกเมืองมากขึ้น เพราะต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในตัวเมือง แต่หากเป็นทำเลที่อยู่นอกเมืองจนเกินไป ก็อาจจะไม่สะดวกในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่ในตัวเมือง ซึ่งทุกวันนี้ต้องยอมรับครับว่าย่านอ่อนนุชกลายเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับต้นๆ เพราะขยับออกจากตัวเมืองเล็กน้อย แต่ยังคงเรียกว่าอยู่ในเมืองนั่นเอง
เดินทางสะดวก
เชื่อมต่อทุกการเดินทาง
ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีว่าอ่อนนุช คือทำเลที่อยู่บริเวณถนนสุขุมวิทหลังจากข้ามสะพานพระโขนงมาจนถึงบริเวณรถไฟฟ้าสถานีอ่อนนุช รวมไปถึงถนนสุขุมวิท 77 แน่นอนครับว่านี่คือข้อได้เปรียบ เพราะอ่อนนุชกลายเป็นประตูทางผ่านของเส้นสุขุมวิทที่เชื่อมมายังถนนฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออกได้ค่อนข้างหลากหลายสาย อย่างเช่นฝั่งขาเข้าที่สามารถเชื่อมไปยังพระโขนง เอกมัย ทองหล่อ หรือจะเป็นฝั่งขาออกนอกเมืองที่เชื่อมไปยังบางจาก บางนา สมุทรปราการ หรือวิ่งเส้นสุขุมวิท 77 เพื่อเชื่อมไปยังพัฒนาการ ลาดกระบัง และศรีนครินทร์ก็ได้เช่นกันครับ
และอีกปัจจัยที่ทำให้อ่อนนุชเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นย่านที่ได้รับความสนใจจากคนเมืองเป็นจำนวนมากก็คือ “รถไฟฟ้า” ซึ่งตั้งแต่รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้าถึงย่านนี้ อย่างสถานีอ่อนนุชที่เป็นจุดสิ้นสุดของรถไฟฟ้าสายสีเขียวเส้นสุขุมวิท เรียกได้ว่าที่นี่เปลี่ยนไปเยอะครับ คนที่อยู่ฝั่งสุขุมวิทตอนปลาย และฝั่งบางนา – สมุทรปราการ ก็สามารถเดินทางเข้าเมืองสะดวกมากยิ่งขึ้น นี่กลายเป็นอานิสงส์ที่ทำให้คนที่มองหาที่อยู่อาศัยหลบออกจากตัวเมืองเล็กน้อยเริ่มให้ความสนใจกับย่านนี้มากยิ่งขึ้น ไม่แปลกครับที่ทุกวันนี้มีหลาย Project เกิดขึ้นต่อเนื่องและกระแสตอบรับก็ดีต่อเนื่องทุกโครงการเช่นกัน
ไลฟ์สไตล์อ่อนนุช
ไลฟ์สไตล์ที่ลงตัวกับคน Gen Z
ลองพูดกันเรื่องไลฟ์สไตล์ของคนในย่านนี้กันดูบ้างครับ อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่า Origin กำลังรุกย่านนี้ด้วยการส่งแบรนด์ The Origin เข้ามาตีตลาด อย่างที่หลายคนทราบกันว่าแบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เจาะคนกลุ่ม Gen Z ดังนั้นเรื่องของไลฟ์สไตล์ย่านอ่อนนุชแน่นอนว่าต้องตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดีแน่นอนครับ
ซึ่งแต่เดิมนั้นต้องบอกว่าราคาที่ดินแถวอ่อนนุชไม่ได้แพงมาก ส่งผลให้ค่าครองชีพไม่สูงเท่าตัวเมือง แต่แหล่งอำนวยความสะดวกที่ครบภายในย่านกลับเป็นตัวเสริมให้อ่อนนุชกลายเป็นย่านที่น่าจับตามอง อย่างทุกวันนี้การใช้ชีวิตของคนในย่านถือว่าสะดวกมากจริงๆ ครับ เพราะมีทั้งแหล่งช้อป ชิม ชิล ไม่ว่าจะเป็น People Park, Century Major Cineplex, Big C Extra อ่อนนุช, Tesco Lotus สุขุมวิท 50, Seacon Square หรือจะเป็น Summer Hill ซึ่งอย่างทำเลที่ตั้งของโครงการ “The Origin Onnut” ก็เป็นอีกทำเลที่ค่อนข้างเอื้อความสะดวกมากครับ เพราะปากซอยอ่อนนุช 24 จะมี 7-Eleven ในระยะประมาณ 50 เมตร เดินได้สบายๆ เลยครับ
นอกจากนี้ยังมีตลาดนัด ร้านค้าต่างๆ อีกหลายแห่งเลยครับ อย่างเช่นช่วงต้นของถนนสุขุมวิท 77 จะมี Street Food ของคนอ่อนนุช ที่ถือว่าเป็นแหล่งรวมผู้คนหลากไลฟ์สไตล์ไว้ในที่เดียวกันนั่นเองครับ
ตอบโจทย์การใช้ชีวิต
ด้วยสถานศึกษาและสถานพยาบาลครบครัน
ถ้านอกเหนือจากการเดินทาง ห้าง ร้านค้าต่างๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดีแล้ว อีกสิ่งที่จะถือว่าตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้จริงก็คือเรื่องของสถานศึกษาและสถานพยาบาลนั่นเองครับ ซึ่งอ่อนนุชไม่ได้เป็นทำเลที่ด้อยกว่าย่านอื่นเลย เพราะที่นี่มีครบ อย่างสถานพยาบาลชั้นนำก็มีทั้ง รพ. กล้วยน้ำไท, รพ. สุขุมวิท และ รพ. คามิลเลียน
ส่วนสถานศึกษาชั้นนำที่นี่มีหลายที่เหมือนกันครับ แต่หลักๆ แล้วกลุ่มโรงเรียนนานาชาติค่อนข้างเยอะพอสมควร เพราะอ่อนนุชไล่ยาวไปจนถึงสุขุมวิทถือว่าเป็นแหล่งงานที่สำคัญที่มีทั้งคนไทยและต่างชาติ ดังนั้นการที่ย่านนี้มีโรงเรียนนานาชาติจึงเป็นอีกสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความเจริญเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Wells International School, Bangkok Prep หรือ Anglo Singapore International School
ซึ่งทำเลอ่อนนุชเองมีจุดเด่นที่น่าสนใจค่อนข้างเยอะ ในขณะเดียวกันโครงการ “The Origin Onnut” ที่ตั้งอยู่อ่อนนุช 24 เป็นอีกทำเลที่น่าสนใจ วันนี้ผมเลยสรุปจุดเด่นของโครงการมาด้วย ลองไปดูกันครับ
จุดเด่นทำเล
◼️ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม สถานีอ่อนนุช
◼️ เชื่อมต่อย่านต่างๆ ด้วยถนนเส้นหลักและเส้นรองหลายเส้น ไม่ว่าจะเป็นถนนสุขุมวิท, ถนนพัฒนาการ และยังใกล้ทางด่วนรามอินทรา – อาจณรงค์, ทางด่วนเฉลิมมหานคร และทางด่วนบูรพาวิถี
◼️ ใกล้แหล่งช้อปปิ้งและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น People Park, Century The Movie Plaza, Big C Extra อ่อนนุช, The Phyll, Tesco Lotus หรือ Summer Hill เป็นต้น
◼️ ใกล้สถานพยาบาลและสถานศึกษาชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น รพ. กล้วยน้ำไท, รพ. สุขุมวิท, รพ. คามิลเลียน, Wells International School, Bangkok Prep และ Anglo Singapore International School
“The Origin” แบรนด์คอนโดฯ เพื่อคน Gen Z
คน Gen Z คืออะไร? คนกลุ่มนี้ปัจจุบันกำลังกายเป็นอีกกลุ่มที่เข้ามามีอิทธิพลในหลายๆ ด้าน ซึ่งคน Gen Z ก็คือคนรุ่นใหม่ (เกิดหลังปี ค.ศ. 1995 หรือปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา) ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และยังจัดว่าเป็นกลุ่มคนที่มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมทั้งเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว ซึ่งวัยทำงานอย่างกลุ่ม First Jobber ก็คือหนึ่งในคนกลุ่มนี้นั่นเองครับ
และอย่างที่เราทราบกันว่า Origin ได้กระโจนเข้าตลาดกลุ่ม Blue Ocean ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าก่อนใครๆ ด้วยการจับตลาดผู้อยู่อาศัยกลุ่มใหม่ที่เป็น First Jobber เพิ่งเรียนจบ เริ่มทำงาน และกำลังมองหาที่อยู่อาศัยของตัวเอง เน้น Local Demand ที่มีศักยภาพของแต่ละพื้นที่แต่ละย่าน และที่เป็นจุดเด่นน่าสนใจมากก็คือ การเลือกทำเลที่ตั้งโครงการเน้นไปที่ทำเลศักยภาพและติดรถไฟฟ้า กลายเป็นว่าการสร้างแบรนด์ใหม่นี้กลายเป็นที่รู้จักภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งนั่นก็คือ “The Origin” นั่นเองครับ
ลองนึกภาพดูครับว่า หากวันนี้คอนโดฯ ต้องกลายเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย เพราะความต้องการในแต่ละวันของคนเรานั้นไม่ได้มีแค่เพียงอย่างเดียว ดังนั้นที่อยู่อาศัยที่เราเลือกก็ต้องตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน ทำงาน ปาร์ตี้ ซึ่งนั่นทำให้แบรนด์ “The Origin” ได้ให้ความสำคัญในส่วนนี้ ที่ผมขอเรียกว่าเป็นความต้องการของลูกค้า ตามคอนเซ็ปต์ที่ทางแบรนด์ต้องการพัฒนาโครงการเพื่อลูกค้านั่นเองครับ
สำหรับโครงการภายใต้แบรนด์ “The Origin” จะมีด้วยกัน 6 โครงการ และเน้นทำเลที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าด้วยกันดังนี้ครับ
◼️ สุขุมวิท
◼️ รัชดา
◼️ ลาดพร้าว
◼️ รามอินทรา
◼️ รามคำแหง
◼️ พหลโยธิน
และโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไปก็คือ “The Origin Onnut” เราลองไปดูความน่าสนใจของโครงการนี้กันครับว่ามีอะไรบ้าง
“The Origin Onnut” คอนโดฯ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีอ่อนนุช
“The Origin Onnut” โครงการน้องใหม่จากแบรนด์ The Origin ที่ครั้งนี้เรียกได้ว่ามีการพัฒนาแบรนด์ด้วยสีสันที่ดูสดใสมากขึ้น เน้นเจาะกลุ่ม Gen Z โดยเฉพาะครับ ทำให้รูปแบบดูโดดเด่นและน่าสนใจมากกว่าที่เคย
ซึ่งผมเองมองว่า Origin มาถูกทางสำหรับการพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งทำเลอ่อนนุชเองก็เป็นอีกทำเลที่ตอนนี้กำลังน่าจับตามองในแง่ของการลงทุนด้วยผลตอบแทนที่เป็นตัวเลขน่าสนใจเลยทีเดียวครับ ทั้งนี้ด้วยอานิสงส์ของรถไฟฟ้าที่มีทั้งต้นซอยและท้ายซอย อย่าง BTS สถานีอ่อนนุช และ BTS สถานีศรีนุช ลองไปดูตัวเลขที่ผมบอกว่าน่าสนใจกันครับ…
เริ่มจากตัวเลขแรกอย่าง Yield ในทำเลอ่อนนุชกันก่อนเลยครับ ซึ่งข้อมูลจาก Hipflat ล่าสุดนั้นจะเห็นได้เลยครับ Yield ของทำเลอ่อนนุชตอนนี้เป็นตัวเลขที่ถือว่าสูงเลยทีเดียวครับ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 – 6% ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปากซอยอ่อนนุช กลางซอย ไปจนถึงท้ายซอย ทุกพื้นที่เป็นทำเลที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยครับ ซึ่งโครงการ “The Origin Onnut” นั้นจะอยู่บริเวณซอยอ่อนนุช 24 ครับ
นอกจากนี้แล้วอีกตัวเลขที่น่าสนใจมากก็คือ Capital Gain สำหรับคอนโดฯ รูปแบบ Low Rise ของทำเลอ่อนนุช ซึ่งตัวเลขโตเฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี จากกราฟจะเห็นได้เลยครับว่าตัวเลขตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปี 2020 เพิ่มขึ้นทุกปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2023 แตะเข้าหลักแสน ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในย่านนี้ค่อนข้างน่าสนใจมากเลยทีเดียวครับ สำหรับโครงการ “The Origin Onnut” คาดว่าจะสร้างเสร็จช่วง Q4 ปี 2022 ซึ่ง Capital Gain ในปีนี้จะตกอยู่ที่ประมาณ 99,200 บาท* แล้วครับ
ทีนี้เราลองไปเจาะรายละเอียดตัวโครงการกันบ้างดีกว่าครับ ว่าฟังก์ชันของโครงการมีอะไรน่าสนใจบ้าง
รูปแบบห้อง Layout ใหม่ พร้อมส่วนกลางแบบจัดเต็ม
โครงการ “The Origin Onnut” เป็นคอนโดฯ รูปแบบ Low Rise 8 ชั้น บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ มี 2 อาคาร ทั้งหมด 399 ยูนิต + 3 ร้านค้า ซึ่งรูปแบบห้องของโครงการวางไว้ด้วยกัน 2 Type คือ 1 Bedroom ขนาดตั้งแต่ 21.5 – 26.5 ตร.ม. และห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34 ตร.ม. โดยห้องแรก 1 Bedroom ขนาด 21.5 ตร.ม. เป็นห้อง Layout ที่ออกแบบใหม่ ไม่เคยมีในแบรนด์ The Origin มาก่อนครับ พร้อมทั้งมีฟังก์ชัน Smart Closet ให้ภายในห้องอีกด้วยครับ
1 Bedroom ขนาด 21.5 ตร.ม.
รูปแบบห้องใหม่กับฟังก์ชัน Smart Closet
ลองมาดูรูปแบบห้องที่น่าสนใจอย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้ากันครับ ว่าทางโครงการได้มีการปรับ Layout ของรูปแบบห้องใหม่ ไม่เคยมีมาก่อนในแบรนด์ The Origin ซึ่งภายในห้องจะมีการออกแบบเป็น 3 ฟังก์ชันหลักครับ โดยฟังก์ชันแรกนั้นจะเป็นพื้นที่ของ “Kitchen & Foyer” ที่จะเป็นพื้นที่ครัวแบบปิดกับพื้นที่เก็บของด้านหน้าที่ทางโครงการออกแบบให้มีชั้นเก็บรองเท้า เก็บของใช้ต่างๆ อย่างพวกกุญแจบ้าน กุญแจรถอยู่ด้านหน้าพร้อมกับเชื่อมต่อด้วยห้องครัวที่มีชั้นเก็บของต่างๆ ครบ รวมไปถึงอ่างล้างมือที่เรากลับเข้าห้องมาก็สามารถล้างมือก่อนเป็นอันดับแรกได้เลย ค่อนข้างตอบรับกับยุค New Normal ที่ไม่ว่าจะทำอะไรมาก็ต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ นั่นเองครับ
ส่วนฟังก์ชันต่อมาคือ “Living & Bed” พื้นที่ส่วนนี้ผมว่าโครงการจัดสรรมาให้ค่อนข้างกว้างเลยครับ แม้จะเชื่อมต่อกับห้องครัว แต่ด้วยฟังก์ชันครัวปิด ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่นอาหารที่จะลอยเข้ามาในพื้นที่พักผ่อนนี้เลย ซึ่ง Space ระหว่างโซฟากับหน้าทีวีก็มีค่อนข้างเยอะ ไม่ใกล้จนเกินไป ดูได้แบบสบายตา แต่หากใครอยากเปลี่ยนพื้นที่นี้ให้เป็นมุมทำงานก็ทำได้เช่นกันครับ เพราะอย่างที่ผมบอกไปคือ พื้นที่ส่วนนี้ที่โครงการให้มาค่อนข้างกว้างเลยทีเดียวครับส่วนฟังก์ชันสุดท้ายที่ถือว่าเป็นไฮไลต์เลยก็คือ “Smart Closet หรือ Monster Closet” ครับ ซึ่งต้องบอกว่านี่ถือเป็นอีกจุดขายของโครงการเลยก็ว่าได้ครับ เพราะจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมว่าหลายคนคงอยากให้ห้องมีพื้นที่แต่งตัวเพิ่มเข้ามาโดยที่ไม่ต้องเสียพื้นที่ส่วนอื่นของห้องไป ซึ่งการที่โครงการสามารถดีไซน์ให้ห้องขนาด 21.5 ตร.ม. มีพื้นที่ Smart Closet ได้นั้น ผมว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว แถมพื้นที่นี้ยังถูกออกแบบให้เชื่อมต่อกับห้องน้ำได้อย่างลงตัว สะดวกต่อการใช้งานมากจริงๆ ครับ
1 Bedroom ขนาด 26.5 ตร.ม.
ความสุขขยายเพิ่มขึ้น กับ Space ที่มากขึ้น
ได้รู้การปรับรูปแบบห้องใหม่ของ The Origin กันไปแล้ว อีกห้องที่ผมมองว่าน่าสนใจมากก็คือห้องฟังก์ชัน 1 Bedroom ขนาด 26.5 ตร.ม. ครับ ซึ่งรูปแบบการจัดวาง Layout นั้นยังคงแบ่งเป็นสัดส่วนให้มีทั้ง Kitchen & Foyer และ Living & Bed แต่ด้วย Space ที่ขยับกว้างขึ้น การใช้งานก็จะตอบโจทย์มากขึ้น รองรับกลุ่มคู่รักที่เพิ่งขยับขยายชีวิตได้สบายๆ เลยครับ
อย่างผมเองเป็นอีกคนที่ยังคง Work From Home ดังนั้นการที่เราสามารถแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้กลายเป็นมุมทำงานส่วนตัวได้นั้นเป็นอะไรที่ดีมากครับ อย่างพื้นที่ของห้องนั่งเล่นนั้นจะค่อนข้างกว้างมาก เราสามารถจัดสรรมุมทำงานเพิ่มขึ้นมาได้สบายๆ โดยที่ไม่ต้องเสียพื้นที่ส่วนไหนของห้องไปเลยครับ
นอกจากนี้แล้วตัวระเบียงของห้องนี้ผมว่ากว้างมาก แทบจะเทียบเท่ากับห้อง Type ใหญ่ 34 ตร.ม. เพราะเป็นระเบียงที่ค่อนข้างยาว ดังนั้นมุมนี้จะเป็นอีกมุมที่เราใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะใช้ตากผ้า ทำสวนเล็กๆ หรือใครอยากทำเป็นมุมพักผ่อนชมวิวชิลๆ แบบส่วนตัวก็ได้เช่นกันครับ
1 Bedroom Plus ขนาด 34 ตร.ม.
ตอบโจทย์ทุกครอบครัว พร้อมการใช้งานแบบ Full Function
ลองมาดูที่ห้องสุดท้ายกันครับ สำหรับห้อง 1 Bedroom Plus ขนาด 34 ตร.ม. ห้องนี้ต้องบอกว่าพื้นที่ใช้สอยจัดเต็มมากจริงๆ ครับ และทางโครงการเองก็ยังไม่ทิ้งการวางแปลนให้เป็นสัดส่วน มีครบทั้ง Kitchen & Foyer, Living & Bed และพื้นที่ของห้องนอนนั้นสามารถปรับให้เป็น Walk-in Closet ได้สบายๆ เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ซึ่งห้องนี้ผมว่าพ่อแม่ลูก อยู่กันได้สบายๆ เลยครับ เพราะมีห้องอเนกประสงค์เพิ่มมาอีกห้อง ส่วนพื้นที่ของห้องนั่งเล่นนั้นก็กว้างมากพอที่จะใช้งานได้แบบ Full Function เลยครับ
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับรูปแบบห้องของโครงการ “The Origin Onnut” ที่กลับมาครั้งนี้มีการปรับ Layout ให้ดูน่าสนใจมายิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่รูปแบบห้องเท่านั้นที่น่าสนใจ แต่ส่วนกลางของโครงการก็เรียกได้ว่าจัดเต็มเช่นกัน ลองมาดูกันครับว่าโครงการให้อะไรมาบ้าง…
สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ
◼️ Lobby
◼️ Co-Working Space
◼️ Observation Deck
◼️ Co-Passion Space
◼️ Shop
◼️ Pocket Garden,
◼️ Swimming Pool 4.5x25m
◼️ Pool Lounge
◼️ Fitness
◼️ Sky Garden
◼️ รถตู้รับ – ส่งจากโครงการไปยัง BTS อ่อนนุช
ซึ่งภาพรวมของรูปแบบห้องนั้น ผมว่าดีไซน์ใหม่ที่โครงการทำมาค่อนข้างตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ลงตัวเลยทีเดียวครับ สำหรับส่วนกลางนั้น ผมว่าโครงการให้มาเยอะครับสำหรับคอนโดฯ รูปแบบ Low Rise และแต่ละส่วนนั้นถือว่าใช้งานได้จริง ตอบโจทย์คนกลุ่ม Gen Z ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
คราวนี้เราลองไปดูกันบ้างดีกว่าครับว่าโครงการนี้เหมาะกับใครบ้าง?
โครงการนี้เหมาะกับใคร?
สำหรับทำเลอ่อนนุชจากที่ผมพาไปสืบก่อนหน้านี้ ทุกคนน่าจะทราบแล้วว่ากลุ่มโรงเรียนนานาชาติค่อนข้างเยอะ นั่นก็เพราะทำเลตรงนี้ไม่ได้มีแค่คนไทยเราอาศัยอยู่ แต่กลุ่มคนต่างชาติก็เยอะเช่นเดียวกัน เพราะทำเลอ่อนนุชยังมีการปรับขึ้นของราคาที่ดินไม่แพงมาก อยู่ในเรทที่กลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติยังรับได้ ทำให้การเพิ่มขึ้นของกลุ่มชาวต่างชาติค่อนข้างเยอะ เรียกได้ว่ากลุ่ม Real Demand ที่เป็นชาวต่างชาติมีอยู่เยอะ บวกกับทำเลที่อยู่ใกล้แหล่งงานสำคัญที่อยู่ทั้งฝั่งสุขุมวิทและบางนา แน่นอนว่ากลุ่ม First Jobber ก็เยอะเช่นกัน เพราะโครงการแถบนี้ยังคงเป็นราคาที่เอื้อมถึง ซึ่งโครงการ “The Origin Onnut” ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้าน* เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 68,000 บาท/ตร.ม. ถือว่าถูกจริงครับเมื่อเทียบกับศักยภาพของทำเล รวมไปถึงฟังก์ชันและสเปกของโครงการ ดังนั้นโครงการนี้จึงลงตัวกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เพิ่งเรียนจบหรือเพิ่งเริ่มทำงาน รวมไปถึงกลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติเองที่อาจจะมองหาที่อยู่อาศัยสำหรับอยู่เอง หรือลงทุนปล่อยเช่าระยะยาวก็ได้ครับ
…ดังนั้น ผมขอสรุปมุมมองนักสืบอสังหา อีกครั้งดังนี้ครับ
ความเห็นในมุมนักสืบอสังหา
1. ทำเล : อ่อนนุชในปัจจุบันถือเป็นทำเลที่มีเสน่ห์ในตัวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่สะดวกมากขึ้นทั้งรถไฟฟ้า หรือคนที่ใช้ถนนก็สะดวกด้วยเส้นทางหลักและเส้นทางรองหลายเส้น รวมไปถึงที่ตั้งโครงการที่สามารถลัดเลาะเข้าซอยเพื่อทะลุออกไปยังเส้นทางต่างๆ ได้อีกหลายเส้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ของผู้คนอีกมากมายเพราะมีทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ Street Food รวมถึงสถานพยาบาลและสถานศึกษาชั้นนำ
2. ราคา : ราคาเริ่ม 1.29 ล้าน* หรือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 68,000 บาท/ตร.ม. เป็นราคาที่เอื้อมถึงสบายๆ สำหรับคนที่เพิ่งตั้งต้นชีวิตวัยทำงาน ซึ่งเมื่อบวกกับสเปกและฟังก์ชันที่โครงการให้มา รวมไปถึงศักยภาพของทำเลที่ต่อยอดลงทุนปล่อยเช่าในระยะยาวได้นั้น ผมว่าราคาล้านต้นๆ นี้เป็นราคาที่คุ้มมากครับ
3. ส่วนกลาง รูปแบบห้อง และสเปก : เรื่องสเปกและฟังก์ชันของแบรนด์ The Origin ผมว่าตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าอยู่แล้วครับ เพราะตั้งแต่แรกแล้วที่แบรนด์นี้เดินหน้าพัฒนาโครงการด้วยความใส่ใจและให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้นทั้งส่วนกลาง รูปแบบห้อง รวมไปถึงสเปกต่างๆ ภายในโครงการจึงค่อนข้างตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี
4. การลงทุน : โครงการนี้น่าลงทุนครับ! ด้วย Yield ที่สูงตั้งแต่ต้นซอยไปจนถึงท้ายซอย เฉลี่ยอยู่ที่ 4 – 6% รวมไปถึง Capital Gain ที่โตขึ้นเฉลี่ย 5% ต่อปี ถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักลงทุนเอง หรือแม้แต่คนที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองแต่อยากลองลงทุนปล่อยเช่าระยะยาวดูบ้างต้องไม่ปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอนครับ
โดยโครงการ “The Origin Onnut” จะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2563 และจะเริ่มเปิดขายจริงในวันที่ 8 ส.ค. 2563 สำหรับใครที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษในการจองห้องได้ที่ >> https://bit.ly/312sqPs
Создание отверстий на водоснабжение в Минском регионе: специфика, шаги и существенные аспекты
Источники воды — это оптимальное решение для частных домов, особенно при наличии важности постоянного обеспечения водными ресурсами. В столице Беларуси организация скважин на воду позволяет достигнуть источника к натуральной и безопасной воде для использования. Наш обзор позволит разобраться понять в деталях буровых работ, его этапах, видах скважин и моментах, которые стоит учесть при принятии решения для осуществления задач.
Зачем нужна скважина на воду?
Общее водоснабжение редко удовлетворяет потребности собственников домов: давление воды часто бывает недостаточным, а жидкость — не всегда пригодной. В такой позиции собственная скважина становится правильным выбором. Основные преимущества водяного источника заключаются в
• Отсутствие зависимости от центрального водопровода.
• Уверенность в чистоте воды. В сравнении с центральным водоснабжением, грунтовая вода, достигнутые бурением, обычно более чисты.
• Экономия на коммунальных платежах.
• Гарантированный водозабор. Водоносная скважина обеспечивает непрерывный доступ к воде в любое время года.
Варианты водяных скважин
Скважины подразделяются по уровню глубины и типу водоносного пласта. В Минске наиболее востребованы основные варианты:
• Абиссинская скважина (песчаная). Глубина таких скважин обычно находится от 10 до 30 метров. Этот тип подходит для сезонного использования и обеспечивает водоснабжение участков с небольшим потреблением воды. Чаще всего вода из подобных скважин применяется для полива и других технических нужд.
• Артезианская скважина. Такие скважины имеют глубину от 50 до 150 метров. Они добывают воду из известняковых пород, обеспечивая отличное качество, пригодное для питья. Эти скважины отличаются большой производительностью и сроком службы от 30 до 50 лет и более.
• Скважина на гравийный слой. Этот вариант занимает промежуточное положение между абиссинской и артезианской скважиной, с глубиной в пределах от 20 до 50 метров. Такие скважины имеют меньшую производительность по сравнению с артезианскими, но могут быть эффективны при низком водопотреблении.
Основные стадии бурения скважины
Процесс бурения включает для достижения качественного и надежного результата:
• Геологические исследования и выбор места. Этот этап включает анализ почв и уточнение параметров водоносных пластов. Выбор оптимального места для бурения снижает риск возникновения сложностей.
• Подготовка к началу бурения. Определяется необходимое оборудование и тип буровой установки в зависимости от типа скважины и глубины водоносного слоя. Очищается рабочая зона и обеспечивается доступ для техники.
• Процесс бурения скважины. На этом этапе буровая установка создает скважину до нужного водоносного слоя. Метод бурения (роторный, шнековый или ударный) подбирается согласно геологии местности.
• Установка обсадных труб и фильтрация. Чтобы скважина служила долго и защищала воду от загрязнений, применяются обсадные трубы из металла или пластика. Также устанавливаются фильтры, предотвращающие попадание песка и других примесей.
Заключительные этапы и ввод скважины в эксплуатацию
• Очистка и промывание. Для удаления всех загрязнений, накопившихся при бурении, скважину промывают. Промывка обеспечивает качественное поступление воды.
• Тестирование дебита воды. Тестирование объема воды позволяет оценить производительность. Тестирование позволяет понять, сможет ли скважина обеспечить постоянное водоснабжение.
При строгом соблюдении этапов работ скважина на воду способна обеспечить независимый и стабильный доступ к воде на долгие годы.